วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ข้อมูลผู้ทำบล็อกและแหล่งเว็บไซต์ต่างๆๆ


แหล่งเว็บไซต์ต่างๆๆๆ

http://travel.kapook.com/view651.html
http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/others/wilaiporn/__76.html
http://www.fisheries.go.th/sf-chiangrai/web2/
http://www.bs.ac.th/2548/e_bs/G4/Prapaporn/p7.htm
https://www.youtube.com/watch?v=4-dTS-vlKag(วิดีโอแนะนำประวัติเมืองเชียงราย)
https://www.youtube.com/watch?v=mxU1L3pNLts(วิดีโอแนะนำการท่องเที่ยวเชียงราย)

ข้อมูลผู้ทำบล็อก
รหัสวิชา GEN1102 เทคโนโลยีสารสนในชีวิตประจำวัน
Section AH 571771057  นส.ณัฐธิดา เหล่าสุนทรากลุ

ิวิดีโอแนะนำประวัติเมืองเชียงรายและการท่องเที่ยวเชียงรายและเพลงประจำจังหวัดเชียงราย

วิดีโอแนะนำประวัติเมืองเชียงราย
วิดีโอแนะนำการท่องเที่ยวเชียงราย

เพลงประจำจังหวัดเชียงราย

อาหารพื้นเมืองของจังหวัดเชียงราย

อาหารพื้นบ้านภาคเหนือ

ในอดีตบริเวณภาคเหนือของไทยเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนามาก่อน ช่วงที่อาณาจักร
แห่งนี้เรืองอำนาจ ได้แผ่ขยายอาณาเขตเข้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า ลาว และมีผู้คนจากดินแดนต่าง ๆ อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนแห่งนี้ จึงได้รับวัฒนธรรมหลากหลายจากชนชาติต่าง ๆ เข้ามาในชีวิตประจำวันรวมทั้งอาหารการกินด้วย
อาหารของภาคเหนือ ประกอบด้วยข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก มีน้ำพริกชนิดต่างๆ เช่น
น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกอ่อง มีแกงหลายชนิด เช่น แกงโฮะ แกงแค นอกจากนั้นยังมีแหนมไส้อั่วแคบหมู
และผักต่างๆ สภาพอากาศก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้อาหารพื้นบ้านภาคเหนือแตกต่างจากภาคอื่น ๆ
นั่นคือ การที่อากาศหนาวเย็นเป็นเหตุผลให้อาหารส่วนใหญ่มีไขมันมาก เช่น น้ำพริกอ่อง แกงฮังเล
ไส้อั่ว เพื่อช่วยให้ร่างกายอบอุ่น อีกทั้งการที่อาศัยอยู่ในหุบเขาและบนที่สูงอยู่ใกล้กับป่า จึงนิยมนำุ์
พืชพันธุ์ในป่ามาปรุงเป็นอาหาร เช่น ผักแค บอน หยวกกล้วย ผักหวาน ทำให้เกิดอาหารพื้นบ้าน
ชื่อต่าง ๆ เช่น แกงแค แกงหยวกกล้วย แกงบอน

                    



         ไส้อั่ว 







แคบหมู           


             






น้ำพริกหนุ่ม





อาหารพื้นบ้านภาคเหนือมีความพิเศษตรงที่มีการผสมผสานวัฒนธรรมการกินจากหลายกลุ่มชนเช่นไทใหญ่จีนฮ่อไทลื้อและคนพื้นเมืองมีสำรับอาหารของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆเช่น 
   
  
                  
 แกงอ่อมไก่                แกงอ่อมเครื่องในหมู                แกงอ่อมหมู            


 แกงอ่อม 
ถือเป็นอาหารยอดนิยมอย่างหนึ่งในบรรดาอาหารเหนือทั้งหลาย โดยเฉพาะในเทศกาลงานเลี้ยงโอกาสพิเศษต่าง ๆ แกงอ่อมเป็นแกงที่ใช้เนื้อได้ทุกประเภท เช่น เนื้อวัว เนื้อควาย เนื้อไก่



                           

        ข้าวซอยไก่                                   ข้าวซอยลูกชิ้น    
ข้าวซอย 

เป็นอาหารของไทลื้อ ที่นำมาเผยแพร่ในล้านนาหรือภาคเหนือ ตามตำรับเดิมจะใช้พริกป่นผัด 
โรยหน้าด้วยน้ำมัน เมื่อมาสู่ครัวไทยภาคเหนือก็ประยุกต์ใช้พริกแกงคั่วใส่กะทิลงไปกลายเป็น

 เคี่ยวให้ข้น ราดบนเส้นบะหมี่ ใส่เนื้อหรือไก่ กินกับผักกาดดอง หอมแดงเป็นเครื่องเคียง 

      
แกงโฮะ 
คำว่าโฮะแปลว่ารวมแกงโฮะก็คือแกงที่นำเอาอาหารหลายอย่างมารวมกันสมัยก่อนแกงโฮะมักจะทำจากอาหารหลายอย่างที่เหลือจากงานบุญมาผัดรวมกันแต่ปัจจุบันใช้เครื่องปรุงใหม่ทำก็ได้หรือจะเป็นของที่ค้างคืนและนำมาปรุงใหม่อีกครั้งหนึ่งแกงโฮะเป็นอาหารที่นิยมแพร่หลายมีขายกันแทบทุกร้านอาหารพื้นเมืองในภาคเหนือ


       
ขนมจีนน้ำเงี้ย

หรือขนมเส้นหมากเขือส้ม เป็นอาหารพื้นเมืองของชาวไทใหญ่ เดิมใช้เส้นก๋วยเตี๋ยวเป็นหลัก ต่อมาคนพื้นเมืองดัดแปลงมาใช้เส้นขนมจีนแทน กินกับถั่วงอก ผักกาดดองเพิ่มรสชาติความอร่อยยิ่งขึ้น  










                          แกงฮังเลเนื้อ                         
แกงอังเลหมู    

แกงฮังเล 
เป็นอาหารพื้นบ้านของชาวไทใหญ่อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งอาจได้รับอิทธิพลมาจากอาหารพม่า
ในอดีต เป็นแกงที่ทำได้ง่าย ใส่พริกแห้ง ผงแกงฮังเล มะเขือเทศ และเนื้อ แล้วนำมาผัด

รวมกัน 

             
น้ำพริกอ่อง 

เป็นน้ำพริกขึ้นชื่อของภาคเหนือลักษณะเด่นของน้ำพริกอ่องคือมีสีส้มของมะเขือเทศและพริกแห้งการกินน้ำพริกอ่องต้องมีผักจิ้มเช่นมะเขือเปราะถั่วฝักยาวผักกาดขาวแตงกวา 


          

อาหารทุกชนิดจะรับประทานร่วมกับข้าวเหนียวหรือข้าวนึ่งใส่ในกระติ๊บข้าวอาหารอื่นๆ 
ใส่ในถ้วย อาหารทั้งหมดจะนำไปวางบนขันโตกซึ่งเป็นภาชนะใส่อาหารที่ทำจากไม้สักกลึงให้ได้รูปขนาดพอดีกับการนั่งรับประทานบนพื้นบ้านอาหารพื้นบ้านภาคเหนือล้วนผ่านการปรุงแต่ง ดัดแปลงทั้งรสชาติและวัตถุดิบจากพื้นบ้านและจากกลุ่มชนต่างๆเป็นสำรับอาหารทางวัฒนธรรมของภาคเหนือที่สร้างชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับทั้งในหมู่
คนไทยและชาวต่างชาติ 

ศิลปวัฒนธรรม และประเพณี




ศิลปวัฒนธรรม และประเพณี

แห่พระแวดเวียง
ประเพณีอัญเชิญพระพุทธรูปแวดเวียงเชียงราย ซึ่งมีพื้นฐานความคิดมาจากตำนานพระเจ้าเลียบโลก ด้วยมีจุดมุ่งหมาย ให้ประชาชนได้มีโอกาสสักการบูชาพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ซึ่งประดิษฐานอยู่ตามวัดวาอารามต่าง ๆ ในตัวเมืองเชียงราย เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตในวาระของการส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ โดยการอัญเชิญพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเชียงราย มาประดิษฐานบนบุษบกที่ได้สร้างขึ้นโดยช่างศิลปินที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเชียงราย จัดตั้งเป็นขบวนอัญเชิญไปรอบเมืองเชียงราย ให้พุทธศาสนิกชนได้มีโอกาสกราบไหว้สักการบูชาด้วย ข้าวตอกดอกไม้ เป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่เป็นสิริมงคลยิ่งนัก

ปอยหลวง
 งานบุญปอยหลวงเป็นเอกลักษณ์ของชาวล้านนาซึ่งเป็นผลดีต่อสภาพทางสังคมหลายประการ นับตั้งแต่ชาวบ้านได้มาทำบุญร่วมกัน ร่วมกันจัดงานทำให้เกิดความสามัคคีในการทำงาน งานทำบุญปอยหลวงยังเป็นการรวมญาติพี่น้องที่อยู่ต่างถิ่นได้มีโอกาสทำบุญร่วมกัน และมีการสืบทอดประเพณีที่เคยปฏิบัติกันมาครั้งแต่บรรพชนไม่ให้สูญหายไปจากสังคม ช่วงเวลา จากเดือน 5 จนถึงเดือน 7 เหนือ (ตรงกับเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนเมษายนหรือเดือนพฤษภาคมของทุกปี) ระยะเวลาประมาณ 3-7 วัน
ป๋าเวณี ปี๋ใหม่เมือง งานประเพณีสงกรานต์

จัดขึ้นประมาณกลางเดือนเมษายน ในงานมีขบวนแห่และสรงน้ำพระเจ้าล้านทอง การแข่งเรือ และการละเล่นพื้นเมืองและมหรสพ จัดบริเวณตัวเมืองเชียงราย และอำเภอเชียงแสน
งานเทศกาลลิ้นจี่และของดีเมืองเชียงราย

เทศกาลที่ชาวเกษตรกรต่างนำผลผลิตทางการเกษตรของตนมาออกร้าน โดยเฉพาะลิ้นจี่ที่มีชื่อเสียงมากของเชียงราย จัดขึ้นประมาณกลางเดือนพฤษภาคมของทุกปี ภายในงานมีการประกวดขบวนรถและธิดาลิ้นจี่ และการออกร้าน บริเวณสนามกีฬากลางจังหวัดเชียงราย
งานไหว้สาพญามังราย
  จัดให้มีพิธีบวงสรวงพญามังราย มีการออกร้าน จัดนิทรรศการของส่วนราชการและเอกชน และงานรื่นเริงอื่น ๆ จัดวันที่ 23 มกราคม-1 กุมภาพันธ์
เป็งปุ๊ด
 เป็งปุ๊ด” หรือ เพ็ญพุธ เป็นประเพณีตักบาตรเที่ยงคืนค่อนรุ่งเข้าสู่วันเพ็ญขึ้น15 ค่ำที่ตรงกับวันพุธ ตามวัฒนธรรมและความเชื่อของบรรพบุรุษล้านนาไทย ที่เชื่อกันว่าพระอุปคุตซึ่งพระอรหันต์องค์หนึ่งแปลงกันยายนป็นสามเณรน้อยมาบิณฑบาตโปรดสัตว์โลกในยามเที่ยงคืน และชาวล้านนาในอดีตเชื่อว่าการทำบุญตักบาตรถวายพระอุปคุตในวันเป็งปุ๊ดก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีบุญ มีโชคลาภและร่ำรวย บังเกิดความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต โดยบรรพบุรุษชาวล้านนาเชื่อว่า ทุกคืนที่ย่างเข้าสู่วันพุธขึ้น 15 ค่ำ เป็นวันเป็งปุ๊ด และจะมีประชาชนชาวล้านนาจำนวนมากมารอเพื่อประกอบพิธีทำบุญตักบาตรพระภิกษุสามเณ

รวมแหล่งท่องเที่ยว จังหวัดเชียงราย

รวมแหล่งท่องเที่ยว จังหวัดเชียงราย

วัดพระธาตุผาเงา 

เชียงราย         

วัดพระธาตุผาเงา ตั้งอยู่ในอำเภอเชียงแสน บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง ตรงข้ามกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ที่มาของวัดมาจากชื่อของพระธาตุผาเงา (ทรงระฆัง) ที่ตั้งอยู่บนยอดหินก้อนใหญ่ ข้างหลังวัดเป็นที่ตั้งของพระบรมพุทธนิมิตรเจดีย์ และเป็นจุดชมวิววที่สวยงาม สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของทั้ง 2 ประเทศ คือประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว อยู่ห่างจากอำเภอเชียงแสนไปตามเส้นทางเชียงแสน-เชียงของ 
ประมาณ 4 กิโลเมตร อยู่ตรงข้ามโรงเรียนสบคำ 

วัดพระธาตุดอยเวา 

          พระธาตุดอยเวา เป็นปูชนียสถานอันเก่าแก่ ตั้งอยู่บนดอยริมฝั่งแม่น้ำแม่สาย ห่างจากชายแดนไทยพม่าเพียง 500 เมตร ถูกสร้างขึ้นเมื่อพุทธศักราช 296 โดยขุนควักเวาหรือพระองค์เวา กษัตริย์องค์ที่ 10 แห่งนครนาคพันธุ์ (เชียงแสนโบราณ) สร้างพระเจดีย์บรรจุพระเกศาธาตุไว้บนดอยนี้ จึงเรียกพระธาตุดอยเวาตามพระนามของผู้สร้าง นับเป็นพระบรมธาตุที่เก่าแก่องค์หนึ่งรองมาจากพระบรมธาตุดอยตุง นอกจากนี้ บนยอดดอยเวายังเป็นจุดที่สามารถชมทิวทัศน์ของอำเภอแม่สาย และท่าขี้เหล็กทางฝั่งพม่าได้อย่างชัดเจน และมีอนุสาวรีย์พระเรศวรมหาราชให้สักการะบูชา ทั้งนี้ เวา ในภาษาล้านนาแปลว่า แมงป่องช้าง ดังนั้นตรงจุดชมวิวจึงมีรูปปั้นแมงป่องยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกตั้งอยู่เป็นสัญลักษณ์ของพระธาตุดอยเวาอีกด้วย 

เชียงราย
กลุ่มแกะสลักไม้พื้นบ้านและบ้านช้างลีลา 108 
สัมผัสความสวยงามของศิลปะหัตถกรรมพื้นบ้าน โดยกลุ่มสล่า (ช่าง) แกะสลักไม้พื้นบ้านของจังหวัดเชียงราย ที่ตำบลท่าสุด อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ซึ่งแกะสลักไม้ด้วยมือ และใช้มีดเหลาไม้ขนาดเล็ก ๆ ในการแกะสลัก มีผลงานการแกะสลักที่หลากหลายมากมาย เช่น  ไม้สักแกะสลักรูปช้าง ไม้สักแกะสลักรูปพระพุทธรูป ไม้สักแกะสลัก 12 ราศี ไม้สักแกะสลักวิถีชีวิตของผู้คน ฯลฯ ซึ่งเน้นนำวัสดุธรรมชาติมาสร้างสรรค์ผลงาน นอกจากนี้ยังมีการแกะสลักไม้ให้เคลื่อนไหวเสมือนมีชีวิตจริง โดยการนำเอานวัตกรรมสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ให้เข้ากัน ซึ่งผลงานการแกะสลักจะเป็นชิ้นเล็ก ๆ ที่ละเอียด ประณีต สวยงามกลุ่มแกะสลักไม้พื้นบ้านในครัวเรือนบ้านถ้ำผาตอง เป็นกลุ่มช่างแกะสลักที่ได้รับการถ่ายทอดภูมิปัญญาจากช่างฝีมือพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่บรรพบุรุษ และที่สามารถจัดทำกันเป็นกลุ่มอย่างเป็นกิจจะลักษณะมีความเข้มแข็งเติบโตได้ เริ่มก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2527 โดย "สล่าคำจันทร์ ยาโน" พร้อมได้ชวนเพื่อนอีก 2 คน คือ "สล่าสุวรรณ สามสี" และ "สล่าจิ๊ก" มาร่วมกันทำงานแกะสลักเพื่อส่งไปจำหน่าย จนฝีมือการแกะสลักเป็นที่รู้จักมากขึ้น จึงได้ชักชวนเพื่อนคนอื่นและเยาวที่สนใจมาฝึกสอนฝึกหัด นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานกันเป็นกลุ่มสำหรับใครที่ต้องการไปชม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่กลุ่มแกะสลักไม้พื้นบ้าน (บ้านถ้ำผาตอง) โทร. 0-5378-7233, 08-1602-4775, 08-1784-8103 และ บ้านช้างลีลา โทร. 0-5378-7237, 08-1883-5491 
เชียงราย


ตลาดไนท์บาซาร์เชียงราย

         ตั้งอยู่ถนนพหลโยธิน บริเวณสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดเชียงราย เป็นที่จำหน่ายของพื้นเมือง ของที่ระลึก และของฝาก จากฝีมือชาวเชียงรายและชาวเขาเผ่าต่างๆ มีทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ รองเท้า กระเป๋า ตุ๊กตาชาวเขา งาน Handmade หลากแบบหลายสไตล์ อีกทั้งยังมีการจำหน่ายของตกแต่งบ้านที่ทำจากไม้ สินค้าหัตถกรรม (หรือสินค้าทำมือ) ต่างๆ เช่น ไม้แกะสลัก ภาพวาด ฯลฯ ใครที่อยากเพลินเพลินกับแสงสีของเมืองเชียงรายในยามค่ำคืน ก็อย่าลืมไปเดินเล่นกินลมชมของสวยได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 18.30-23.00 น. 
เชียงราย
ล่องเรือแม่น้ำกก ชมหมู่บ้านกะเหรี่ยง 


          ใครที่ชอบชมธรรมชาติและความชุ่มฉ่ำของสายน้ำไม่ควรพลาด กับการไปล่องเรือในแม่น้ำกก แม่น้ำที่ไหลผ่านตัวเมืองเชียงราย เพราะตลอดสองฟากฝั่งของแม่น้ำกกจะเป็นป่าเขาที่สวยงามตามธรรมชาติ นอกจากนี้ ยังสามารถแวะชมวิถีชีวิตหมู่บ้านชาวเขาต่าง ๆ เช่น อีก้อ ลีซอ กะเหรี่ยง หรือจะแวะปางช้างให้อาหารและนั่งช้างเที่ยวป่ารอบบริเวณนั้นก็ได้ 


ไร่แม่ฟ้าหลวง 
ไร่แม่ฟ้าหลวง อยู่บริเวณพื้นราบทางตะวันตกของตัวเมืองเชียงราย ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่อบรมเยาวชนชาวเขาจากหมู่บ้านต่างๆ ในภาคเหนือ ปัจจุบันเป็นอุทยานศิลปะและวัฒนธรรมอันรื่นรมย์ด้วยหมู่ไม้นานาพรรณ ในพื้นที่ 150 ไร่ เหมาะสำหรับผู้แสวงหาความสงบเงียบและแรงบันดาลใจอันเกิดจากธรรมชาติ และศิลปวัฒนธรรมพื้นถิ่น สถานที่น่าสนใจในไร่แม่ฟ้าหลวง ประกอบด้วย… 
"หอคำ" สถาปัตยกรรมล้านนาซึ่งมีหลังคามุงด้วยแผ่นไม้สัก ชาวเชียงรายร่วมกันสร้างเพื่อ "ไหว้สาแม่ฟ้าหลวง" ถวายเนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเจริญพระชนมายุ 84 พรรษา เมื่อปี พ.ศ. 2527 อันเป็นฝีมือช่างไม้พื้นบ้านในจังหวัดเชียงรายและแพร่ ภายในหอคำเป็นที่เก็บรวบรวมศิลปวัตถุและงานพุทธศิลป์ มีทั้งพระพุทธรูปแบบล้านนา พม่า และเครื่องไม้แกะสลักที่ในในการพระศาสนา เช่น สัตภัณฑ์ (เชิงเทียนไม้เก่าแก่) ตุงกระด้าง(ตุงหรือธงไม้) ฯลฯ โดยในหอคำมีพระพุทธรูปองค์สำคัญในหอคำ คือ พระเจ้าพร้าโต้ ซึ่งมีจารึกว่าสร้างในปี พ.ศ. 2236 โดยชาวบ้านซึ่งเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในพื้นที่และยังไม่มีเครื่องมือที่เหมาะสมในการสลักเสลาพระพุทธรูปไม้ให้ประณีต จึงใช้เพียงมีดโต้เป็นเครื่องมือแกะสลักพระพุทธรูปมีลักษณะแข็งแรงและสง่างาม 
"หอคำน้อย" อาคารศิลาแลงหลังคาเป็นเกล็ดไม้สัก ที่เก็บภาพจิตรกรรมฝาผนังเขียนด้วยสีฝุ่นบนกระดานไม้สัก สันนิษฐานว่าเขียนขึ้นในช่วงต้นรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยช่างเขียนชาวไทยลื้อ ภาพแสดงให้เห็นถึงความเป็นอยู่ การแต่งกาย และวัฒนธรรมล้านนาเมื่อกว่าร้อยปีมาแล้ว  

"หอแก้ว" ซึ่งมีพื้นที่แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งใช้เป็นที่ทำกิจกรรม เช่น การประชุมสัมมนา จัดเลี้ยง ฯลฯ มีระเบียงยื่นลงไปในสระน้ำกว้างใหญ่ เหมาะแก่การสังสรรค์อันรื่นรมย์ และปลอดโปร่งใจอีกส่วนหนึ่งเป็นพื้นที่จัดนิทรรศการ ทั้งนิทรรศการหมุนเวียน และนิทรรศการถาวร นิทรรศการถาวรเป็นนิทรรศการเกี่ยวกับไม้สัก ทั้งในด้านพฤกษศาสตร์ และในด้านเป็นวัสดุอันเลื่องชื่อสำหรับสร้างสรรค์งานศิลปะ  
ไร่แม่ฟ้าหลวงเปิดทุกวันเวลา 08.00-18.00 น. (ยกเว้นวันจันทร์) ค่าเข้าชมคนไทย 150 บาท ต่างชาติ 200 บาท ทั้งนี้ ใครที่สนใจอยากไปชมความงามของไร่แม่ฟ้าหลวง ก็สอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. 0 5371 1968 โทรสาร 0 5371 2429 หรือ www.maefahluang.org 

เชียงราย
พิพิธภัณฑ์อูบคำ 
 ศูนย์อนุรักษ์มรดกอันล้ำค่าของอาณาจักรล้านนาโบราณ และความหลากหลายของเสื้อผ้าและอาภรณ์ของชนชาติไตเผ่าต่าง ๆ ในอาณาจักรล้านนา และด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะอนุรักษ์ความเป็นมาอันยิ่งใหญ่ของชาวล้านนา ทำให้ อาจารย์จุลศักดิ์ สุริยะไชย ได้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์อูบคำขึ้นมาด้วยแรงกาย แรงใจ และทุนทรัพย์ เพื่อเป็นศูนย์อนุรักษ์มรดกล้ำค่าของอานาจักรล้านนาโบราณ เก็บของมีค่าสมัยล้านนาที่กระจายอยู่ในที่ต่างๆให้คืนกลับสู่แผ่นดินไทย และเพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาถึงความเป็นมาของบรรพบุรุษต่อไปในอนาคต เช่น เครื่องใช้ในราชสำนักล้านนาเครื่องใช้ในราชสำนักคุ้มเจ้าต่างๆ ในล้านนาผ้าโบราณอายุ 200 ปี พระพุทธรูป และบัลลังค์ของเจ้าฟ้าในสมัยโบราณที่สมบูรณ์ที่สุดอีกด้วย ฯลฯโดยคำว่า อูบคำ เป็นชื่อที่มาจากอูบทองคำที่อาจารย์จุลศักดิ์ได้รับเป็นมรดกตกทอดจากบิดซึ่งสืบเชื้อสายจากพระยาสุลวฤาชัย (หนานทิพย์ช้าง) เจ้านครลำปาง(พ.ศ.2275-2301)และใช้ชื่อดังกล่าวต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันสำหรับพิพิธภัณฑ์อูบคำเปิดบริการให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00-18.00 น. อัตราค่าเข้าชม คนไทยผู้ใหญ่100บาทเด็ก50 บาทชาวต่างชาติผู้ใหญ่200บาทเด็ก 100 บาท  เชียงราย

การนับถือศาสนาและอาชีพของประชากรเชียงราย

การนับถือศาสนา

ประเทศไทยเป็นประเทศที่ให้ความเสรีในด้านการนับถือศาสนา คนไทยจึงเลือกนับถือศาสนาต่างๆ ได้ตามความสมัครใจ โดยประชากรส่วนมากนับถือศาสนาพุทธ ซึ่งก็ได้นับถือสืบต่อกันมาเป็นเวลาช้านาน จนกลายเป็นรากฐานของความเชื่อ วัฒนธรรม ประเพณีส่วนใหญ่ และเป็นเอกลักษณ์ของชาติในปัจจุบัน แม้ว่าจะไม่มีการบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติก็ตามสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า ประชากรไทยประมาณร้อยละ 94 นับถือศาสนาพุทธ โดยส่วนใหญ่เป็นนิกายเถรวาท และประมาณร้อยละ 5 นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวไทยทางภาคใต้ตอนล่าง โดยร้อยละ 99 ของมัสยิดในประเทศไทยเป็นนิกายสุหนี่ ส่วนมัสยิดนิกายชีอะมีเพียงร้อยละ 1สำหรับคนไทยที่นับถือศาสนาคริสต์มีประมาณ 4 แสนกว่าคน คิดเป็นร้อยละ 0.7 ของจำนวนประชากรทั่วประเทศ มีทั้งนิกายคาทอลิก โปรเตสแตนต์ และเซเวนเดย์ แอดเวนติสต์ ส่วนชาวซิกข์มีประมาณ 70,000 คน ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่อื่นๆ เช่น เชียงใหม่ นครราชสีมา พัทยา และภูเก็ต มีโบสถ์ซิกข์อยู่ทั้งหมด 19 แห่งทั่วประเทศ ส่วนผู้นับถือศาสนาฮินดูมีถึงประมาณ 1 หมื่นคนนอกจากนี้ก็ยังมีผู้นับถือศาสนาและลัทธิอื่นๆ เช่น เต๋า ขงจื้อ และยิว รวมทั้งชาวไทยภูเขาอีก 9 เผ่า จำนวนประมาณ 920,000 คน ที่นับถือศาสนาแตกต่างกันไป 
อาชีพของประชากรของจังหวัดเชียงราย
1.การเพาะปลูก พืชที่สำคัญได้แก่ ข้าว ซึ่งนิยมปลูกทั้งข้าวเหนียวและข้าวเจ้า มีผลผลิตต่อเนื้อที่สูงกว่าภาคอื่นๆเนื่องจากดินและน้ำอุดมสมบูรณ์ มีการจัดชลประทานที่ดีจึงทำให้สามารถทำนาได้ถึงปีละ2ครั้ง นอกจากนี้พืชเศรษฐกิจอื่นๆอีกเช่น ข้าวโพด อ้อย ลิ้นจี่ ลำไย และปัจจุบันนี้พืชผักและผลไม้เมืองหนาวก็นิยมปลูกกันบริเวณที่สูง
2.การเลี้ยงสัตว์ สัตว์เลี้ยงที่สำคัญได้แก่ กระบือและโค นิยมเลี้ยงในเขตที่ราบเพื่อใช้แรงงาน แต่ปัจจุบันได้มาการนำรถยนต์เข้ามาใช้แทนแรงงานสัตว์พวกนี้จึงทำให้จำนวนสัตว์เลี้ยงลดลงไปมาก
3.การทำป่าไม้ ภาคเหนือมีภูมิประเทศเป็นภูเขาสลับซับซ้อน ป่าไม้อุดมสมบูรณ์ จึงมีการแปรรูปไม้ การแกะสลัก การทำเยื่อกระดาษ และการทำไม้อัด แต่หลังจากที่มีการออกกฏหมายควบคุบการแปรรูปไม้พ.ศ.2532 ทำให้การทำป่าไม้ในภาคเหนือลดลงไปมาก
4.การประมงน้ำจืด ส่วนใหญ่เป็นการจับปลาตามแหล่งน้ำธรรมชาติเช่น แม่น้ำ อ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อน บึง หนองน้ำ แต่แหล่งน้ำขนาดใหญ่ในภาคเหนือมีไม่มากนัก เมื่อเทียบกับภาคอื่นๆจึงนับว่ายังน้อย
5.การทำเหมืองแร่ เนื่องจากมีโครงสร้างทางธรณีสัณฐาณเป็นทิวเขาหินเก่า จึงมีทรัพยากรแร่อยู่หลายชนิด และมีการเปิดเหมืองนำแร่เหล่านั้นมาใช้บ้างแล้วเช่น แร่ดีบุกที่เชียงใหม่ ถ่านหินที่ลำปาง เป็นต้น
 6.อุตสาหกรรม มีการประกอบอาชีพอุตสาหกรรมในครอบครัวที่มีชื่อเสียงมาช้านาน ได้แก่ การทอผ้า การทำร่ม การทำเครื่องจักรสาน ฯลฯ และในปัจจุบันมีอุตสาหกรรมการแปรรูปเพิ่มขึ้น เช่น อุตสาหกรรมลำไย ลิ้นจี่กระป๋อง กระเทียมดอง เป็นต้น
 7.การค้าและการบริการ นอกจากการค้าภายในภูมิภาคและภายในประเทศแล้ว ยังมีการส่งสินค้าออกไปจำหน่ายกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะบริเวณชายแดน สินค้าที่ขายให้ประเทศเพื่อนบ้านได้แก่ ผงชูรส สิ่งทอ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานพาหนะและอะไหล่ สินค้าที่ไทยซื้อจากประเทศเพื่อนบ้าน ได้แ่ก่ อัญมณี ไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ โค และกระบือ
 รวมภาพอาชีพของประชากรของจังหวัดเชียงราย
      
         การปลูกข้าว                           

        
            กระบือ       







โค








การปลูกป่าไม้








การงประมงน้ำจือ
  
                  



การทำเหมืองแร่ 




                                                     กาทอผ้า
การทำร่ม
 เครื่องใช้ไฟฟ้า 

  ยานพาหนะและอะไหล่








เกี่ยวกับ

                    ประวัติเมืองเชียงราย 
เมื่อพญามังรายได้ทรงรวบรวมหัวเมืองฝ่ายเหนือในอาณาเขตรอบ ๆ ได้แล้ว จึงทรงกรีฑาทัพไปแสดงฝีมือในการยุทธต่อหัวเมืองฝ่ายใต้ลงมา จึงได้ไปรวมพล ณ เมืองลาวกู่เต้า และหมอควาญได้นำช้างมงคลของพญามังรายไปทอด (ผูก) ไว้ในป่าหัวดอยทิศตะวันออกพลัดหายไป พญามังราย จึงได้เสด็จติดตามรอยช้างไปจนถึงดอยทองริมแม่น้ำกกนัทธี ได้ทัศนาการเห็นภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่ม อุดมสมบูรณ์เป็นชัยภูมิที่ดี จึงได้สร้างเมืองใหม่ ขึ้นในที่นั่น ให้ก่อปราการโอบเอาดอยจอมทองไว้ในท่ามกลางเมือง ขนานนามเมืองว่า “เวียงเชียงราย” ตามพระนามของพญามังรายผู้สร้าง เมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 1805 ดังนั้น จึงได้นำรูปช้างสีขาวใต้เมฆแห่งความรุ่งเรือง และอยู่เย็นเป็นสุข บนพื้นสีม่วงของ วันเสาร์ซึ่งตรงกับวันประสูติของพญาเม็งราย เป็นสีประจำจังหวัด

ตราสัญลักษณ์ประจำจังหวัดเชียงราย
คำขวัญของจังหวัดเชียงราย
“เหนือสุดในสยาม ชายแดนสามแผ่นดิน
ถิ่นวัฒนธรรมล้านนา ล้ำค่าพระธาตุดอยตุง”
                                  
              แผนที่จังหวัดเชียงราย


แผนที่เชียงราย

                            สภาพภูมิศาสตร์ของจังหวัดเชียงราย

จังหวัดเชียงรายตั้งอยู่เหนือสุดของประเทศไทย อยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ 19 องศาเหนือ ถึง
20 องศา 30 ลิปดาเหนือ และเส้นแวงที่ 99 องศา 15 ลิปดา ถึง 100 องศา 45 ลิปดาตะวันออก อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ 785 กิโลเมตร
                    อาณาเขตติดต่อของจังหวัดเชียงราย
ทิศเหนือ ติดต่อกับ ประเทศสหภาพพม่าและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ทิศตะวันออก ติดต่อกับ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ทิศใต้ ติดต่อกับ จังหวัดพะเยาและลำปาง
ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ประเทศสหภาพพม่าและจังหวัดเชียงใหม่
แนวเขตชายแดนติดต่อกับประเทศพม่า ด้านอำเภอแม่จัน แม่สาย แม่ฟ้าหลวง และเชียงแสน รวม 130 กิโลเมตร แยกเป็นแนวภูเขา 100 กิโลเมตร แนวแม่น้ำสาย 10 กิโลเมตร และแนวแม่น้ำรวก 20 กิโลเมตร
แนวเขตชายแดนติดต่อกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีระยะทาง 180 กิโลเมตร โดยเป็นแนวแม่น้ำโขง 90 กิโลเมตร และแนวภูเขา 94 กิโลเมตร

                       สภาพภูมิประเทศ

เชียงรายมีภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสูงในทวีปตอนเหนือ (North Continental Highland) มีพื้นราบสูงเป็นหย่อมๆ ในเขตอำเภอแม่สรวย เวียงป่าเป้า และเชียงของ บริเวณเทือกเขาจะมีความสูงประมาณ 1,500 - 2,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล บริเวณส่วนที่ราบตามลุ่มแม่น้ำสำคัญในตอนกลางของพื้นที่ ได้แก่ อำเภอพาน เมือง แม่จัน แม่สาย เชียงแสน และเชียงของ มีความสูงประมาณ 410 - 580 เมตร จากระดับน้ำทะเล

สภาพภูมิอากาศของจังหวัดเชียงราย

อุณหภูมิ ในห้วงปี 2544 – 2548 จังหวัดเชียงรายมีอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีอยู่ระหว่าง 33.1 
องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 38.8 องศาเซลเซียส เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2544 และวันที่ 9 พฤษภาคม 2546 ฝน ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยปีละ 1,768 มิลลิเมตร มากที่สุดในปี 2544 จำนวน 2,287.60 มิลลิเมตรน้อยที่สุดในปี 2546 จำนวน 1,404.10 มิลลิเมตร จำนวนวันที่มีฝนตกเฉลี่ย 143 วันต่อปี
ฤดูหนาว (พฤศจิกายน – กุมภาพันธ์) จังหวัดเชียงรายมีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 15.0 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 8.0 องศาเซลเซียส เมื่อวันที่ 28 มกราคม 254


เศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย
ภาคเศรษฐกิจที่สำคัญของเชียงราย คือ ภาคการเกษตร ซึ่งมีสัดส่วนในผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัดถึงร้อยละ 32 ส่วนภาคการค้าส่งและค้าปลีกมีสัดส่วนร้อยละ 17 และภาคอุตสาหกรรมมีสัดส่วนร้อยละ 12

พืชเศรษฐกิจ

พืชเศรษฐกิจที่สำคัญของจังหวัดเชียงราย ประกอบด้วย ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง ลำไย ลิ้นจี่ ยางพารา และพืชผัก นอกจากนี้ยังมีพืชเศรษฐกิจใหม่ที่จังหวัดมุ่งพัฒนาให้เป็นพืชเศรษฐกิจเฉพาะถิ่น ได้แก่ ชา กาแฟ สับปะรด เป็นต้นเชียงรายเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ปลูกชามากที่สุดของประเทศ และในปี 2547 จังหวัดได้กำหนดให้ชาเป็นพืชยุทธศาสตร์หลัก โดยส่งเสริมให้มีการปลูกชาเพิ่มมากขึ้นเพื่อทดแทนพืชอื่น ๆ ที่ให้ผลตอบแทนต่ำ และผลักดันให้จังหวัดเชียงรายเป็นศูนย์กลางผลิตชาพันธุ์ดีของประเทศ พันธุ์ที่ปลูก ได้แก่ ชาอัสสัม ซึ่งเป็นพันธุ์ดั้งเดิม และชาจีน ที่เริ่มนิยมปลูกเนื่องจากให้ผลตอบแทนสูงและเป็นที่ต้องการของตลาด แหล่งผลิตสำคัญอยู่ในเขตอำเภอแม่ฟ้าหลวง แม่สรวย และเวียงป่าเป้าพืชเศรษฐกิจใหม่ที่มีลักษณะเฉพาะถิ่นอีกชนิดหนึ่ง ได้แก่ กาแฟ เนื่องจากมีคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาดต่างประเทศ แหล่งผลิตที่สำคัญอยู่ในเขตอำเภอแม่สรวย แม่ฟ้ าหลวง เมือง และแม่สาย

อุตสาหกรรม

มีโรงงานที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงราย (ยอดสะสมถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2551) รวมทั้งสิ้น 783 โรงงาน เงินลงทุนรวม 8,440 ล้านบาท จ้างงานรวม 13,441 คน ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมการเกษตร (โรงสีข้าว กิจการบ่มใบชา บ่มใบยาสูบ อบเมล็ดพืช) รองลงมาคือ อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมอโลหะ อุตสาหกรรมที่สนับสนุนกิจการก่อสร้าง โดยอำเภอเมืองมีโรงงานตั้งอยู่มากที่สุด รองลงมาคือ อำเภอแม่จัน อำเภอแม่สาย
การค้าชายแดน
จากที่ตั้งของจังหวัดเชียงรายที่เป็นเมืองชายแดนด้านทิศเหนือ จึงมีจุดเด่นทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะแก่การเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน (GMS) ซึ่งประกอบด้วยสาธารณรัฐประชาชนจีน (ตอนใต้) สหภาพพม่า และ สปป.ลาว
นอกจากเป็นจังหวัดชายแดนแล้ว เชียงรายยังมีโครงสร้างพื้นฐานระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกแก่นักธุรกิจและนักท่องเที่ยว อาทิ
  • ท่าอากาศยานนานาชาติจังหวัดเชียงราย
  • เส้นทางการคมนาคมทางบกเชื่อมโยงโครงข่ายทางหลวงภาคเหนือตอนบน ทั้งยังเชื่อมโยงไปยังประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงตอนบนได้ถึง 2 เส้นทาง คือ เส้นทาง R3Aไทย ลาว จีน และเส้นทาง R3B ไทย พม่า จีน
  • การคมนาคมทางน้ำ ทั้งด้านการขนส่งและการเดินทางโดยใช้แม่น้ำโขง ในจังหวัดเชียงรายมีท่าเทียบเรือที่อำเภอเชียงแสนและอำเภอเชียงของ
ระบบสาธารณูปโภคเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อต่อการค้าชายแดน การขนส่งสินค้าทั้งในประเทศและไปยังต่างประเทศ ตลอดจนการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงภาคเหนือตอนบนกับอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และต่อไปยังประเทศจีนอีกด้วย
ในปี 2551 จังหวัดเชียงราย  มีมูลค่าการค้าชายแดนรวม 13,713 ล้านบาท